โปรแกรมสร้างสุขด้วยสติในองค์กร (Mindfulness in Organization : MIO)
สภาวะจิตของคนทั่วไป โดยปกติจะมีแค่สภาวะของการหลับและการตื่น เท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีสภาวะจิตขั้นสูงขึ้นไปอีก
เป็นสภาวะที่ร่างกายยัง ตื่นอยู่ไม่ได้หลับ
แต่จิตใจสงบ ผ่อนคลายมีความสุขโดยสภาวะนี้จะมีคลื่นสมอง ที่พิเศษแตกต่างจากช่วงเวลาตื่น
หลับและฝันอย่างเห็นได้ชัด ด้วยสภาวะจิต ขั้นสูงนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถพัฒนาได้โดยการพัฒนา“สมาธิและสติ”
นั่นเอง
เมื่อบุคคลได้รับการพัฒนาสมาธิและสติแล้วจะสามารถดำ เนินชีวิตและ ทำ งานได้อย่างมีความสุข ปราศจากทุกข์ บรรเทาโรคทางกายและโรคทางจิต และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อสามารถนำ
“สติ”
มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำ
วัน ในการทำ งาน ในชีวิตครอบครัวและ ในการสร้างสัมพันธภาพในสังคมแล้วจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล
ดังที่จะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป
ความหมายของสติและสมาธิ
ความหมายของสติและสมาธิ สติ
ตามความหมายในทางพุทธศาสตร์แปลว่า ความระลึกได้ นึกได้ ความไม่เผลอ
การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือการปฏิบัติ นั่นเองหรืออธิบายเพิ่มเติมได้ว่าหมายถึงความรู้ตัวในสิ่งที่คิดพูดและทำ
ในชั่วขณะ ปัจจุบัน ไม่หลงลืมไม่เลินเล่อพลั้งเผลอไม่ประมาท
สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ป้องกันไม่ให้คิด
พูด และทำอย่างหุนหันพลันแล่นหรือทำตามความเคยชินหรือ นิสัยเดิมๆ
อีกต่อไป 2 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร สติ (Mindfulness)
ตามนิยามของ
Jon Kabat-Zinn, Ph.D. Professor of Medicine, University of Massachusetts
Medical School ผู้เป็น ปรมาจารย์ด้านสติในประเทศตะวันตก และผู้ริเริ่ม Mindfulness-Based
Stress Reduction Program หมายถึง การคงไว้ซึ่งการรู้ตัวทุกชั่วขณะ ในความคิด
อารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกทางกาย และสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว
(Mindfulnessmeansmaintainingamoment-by-momentawarenessof ourthoughts,feelings,
bodilysensations,andsurroundingenvironment.) สติยังรวมไปถึงการยอมรับ
ซึ่งหมายถึงการที่บุคคลตั้งใจอยู่กับความคิดและ ความรู้สึกทั้งหลายโดยไม่ไปตัดสินผิดถูกในชั่วขณะนั้น
เมื่อฝึกสติแล้วความคิด ของคนเราจะถูกปรับให้อยู่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ณ ปัจจุบัน ไม่ต้องหมกมุ่นกับ อดีตหรือวิตกกังวลถึงอนาคต นอกจากสติแล้ว ยังมีเรื่องสำ คัญที่มีผลต่อสติเป็นอย่างยิ่ง
นั่นก็คือเรื่อง ของสมาธิTheFreeDictionary ได้ให้ความหมายของสมาธิไว้ว่า
เป็นการฝึก ความตั้งใจให้จดจ่อกับเสียง วัตถุ ภาพในใจ
ลมหายใจ การเคลื่อนไหว หรืออยู่กับความตั้งใจของตัวเอง
เพื่อที่จะเพิ่มความรู้ตัวต่อปัจจุบันขณะ ช่วยลดความเครียด
ส่งเสริมการผ่อนคลาย และก่อให้เกิดความเจริญเติบโต ของบุคคลและจิตวิญญาณ
(Meditation is a practice of concentration focus upon a sound, object,
visualization, the breath, movement, or attention itself in order to increase
awareness of the present moment, reducestress, promoterelaxation, and enhance
personal and spiritual growth.) สมาธิ(Tranquil Meditation) หมายถึง
ความตั้งมั่นแห่งจิต เพื่อให้จิตพัก โดยว่างจากความคิดทั้งปวง
เพราะโดยทั่วไปจิตจะมีความคิดอยู่เสมอเมื่อสะสม ความคิดที่ไม่ถูกใจก็จะกลายเป็นความว้าวุ่น
อารมณ์และความเครียดในที่สุด นอกจากนี้วิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรีให้ความหมายของสมาธิว่า เป็นที่ตั้ง มั่นแห่งจิต
ในการฝึกปฏิบัติสมาธิคือ การทำ ใจให้นิ่งว่างจากความคิดทั้งปวง 3 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร โดยให้จิตจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ลมหายใจ
หากจิตหยุดนิ่งได้แล้วจะมีพลัง เหมือนการรวมโฟกัสของแสงให้เป็นจุดเดียวกัน
ย่อมมีพลังที่จะจุดไฟให้ติดได้ การฝึกสมาธินั้น
ทางจิตวิทยานอกจากเป็นการลดความว้าวุ่นและความเครียด ของจิตใจแล้ว
จิตที่ออกจากความสงบของสมาธิยิ่งเป็นจิตที่มีสติได้ง่ายอีกด้วย นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงความแตกต่างของสติกับสมาธิไว้ว่า สติเป็นจิตที่มีคุณภาพในขณะ ทำ งาน ส่วนสมาธิเป็นจิตที่มีคุณภาพในขณะพัก นั่นคือ จิตในขณะที่มีสติ จะทำ งานโดยไม่วอกแวกและควบคุมอารมณ์และความคิดได้ส่วนจิตในขณะที่มี สมาธิจะหยุดคิดจนเกิดความสงบและผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจแต่ทั้งสติ และสมาธิต่างก็มีความสัมพันธ์และเกื้อกูลกัน
นั่นคือเมื่อจิตออกจากสมาธิแล้ว ย่อมมีสติได้ง่าย
และการฝึกสติเป็นประจำก็จะทำ ให้ฝึกสมาธิได้โดยไม่ลำ บาก สติกับความสุขในองค์กร สำ หรับในองค์กร สสส.และภาคีเครือข่ายได้เสนอแนวคิดเรื่องความสุข 8
ประการในองค์กร
หรือรู้จักกันในชื่อ Happy8 ซึ่งเมื่อเทียบกับความสุข5ระดับ ของ Maslow ก็อาจจะเทียบได้ดัง
ความสุขทั้ง 5 ระดับและ Happy 8 มีทั้ง 2
ทาง
ด้านหนึ่งก็คือ คนเราจะ มีแรงจูงใจที่จะไปสู่ขั้นสูงขึ้น
เมื่อได้รับความสุขขั้นต้นก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง คนเราก็มีความต้องการและความคาดหวังไม่มีที่สิ้นสุดการรู้จักพอในความสุขชั้น ล่างๆ จึงต้องมาจากความสุขขั้นบนสุดหรือสุขสงบและสุขสว่างต่อด้วย เรื่องความสุขของบุคคลจากการพัฒนาจิตจนเกิดจิตตปัญญานั้น ได้มี การศึกษาวิจัยอย่างมากในปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กับสมอง
(ดังรายละเอียดในตอนต่อไป) โดยส่วนใหญ่ของวิธีการพัฒนาจิต ก็ดัดแปลงมาจากศาสตร์ทางตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกสมาธิและ การฝึกสติในพุทธธรรม
ทั้งนี้นอกเหนือจากการเข้าฝึกอบรมแล้วยังต้องอาศัย การปฏิบัติอย่างสมํ่าเสมอในชีวิตปกติซึ่งเป็นเรื่องยาก
เช่นเดียวกับปัญหา การฝึกกาย (ออกกำ ลัง) อย่างสมํ่าเสมอ สาเหตุสำคัญคือ
วิถีชีวิตทางวัตถุ สิ่งกระตุ้นทางวัตถุตลอดจนภาระและความกดดันต่างๆ
ทำ ให้ไม่สามารถ พัฒนาจิตอย่างยั่งยืนได้ การพัฒนาสติในองค์กร ในชีวิตของคนวัยทำ งาน ต้องใช้เวลาอยู่ในสถานที่ทำ งานประมาณวันละ 8
ชั่วโมง
หรือ1 ใน 3ของเวลาในแต่ละวัน ยิ่งถ้าหักเวลานอนไปอีก8ชั่วโมงแล้ว ก็เท่ากับว่าเราใช้เวลาครึ่งหนึ่งของแต่ละวันอยู่กับการทำ งาน
ซึ่งถ้าการทำ งาน ไม่มีความสุข
ก็เปรียบเสมือนชีวิตครึ่งหนึ่งของเราก็จะไม่มีความสุขตามไปด้วย ดังนั้น ในปัจจุบันองค์กรหรือสถานประกอบการหลายๆ แห่ง จึงได้มี ความคิดริเริ่มในการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ขององค์กรเสียใหม่โดยมุ่งไปให้ไกลกว่า การเน้นผลกำ ไรหรือการเติบโตทางธุรกิจและการเน้นคุณภาพหรือความพึงพอใจ ของลูกค้าไปเป็นความสุขของพนักงาน ครอบครัวและการมีความรับผิดชอบต่อ สังคมและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม
กลวิธีในการพัฒนาความสุขให้พนักงานของแต่ละองค์กรยัง มีความแตกต่างกัน
หลายองค์กรจะเพียงแค่ผนวกเรื่องของการพัฒนาจิตเข้าไป 5 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร ในรูปแบบของกิจกรรมต่างๆเช่น การทำ บุญในวาระสำคัญ การทำ งานจิตอาสา พัฒนาชุมชน การปฏิบัติธรรม เป็นต้น
ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะกระทำแค่เป็นครั้ง คราวเท่านั้น
ในขณะที่หลายองค์กรจะนำ เรื่องของการพัฒนาจิตเข้ามาเชื่อมโยง
กับวิถีชีวิตการทำ งานจริง
เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสพัฒนาจิตทุกวันที่มาทำ งาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว
ชีวิตครอบครัวและชุมชนในท้ายที่สุดด้วย ปัจจุบัน
องค์กรในต่างประเทศหลายองค์กรได้ให้ความสำคัญกับการฝึกสติ และสมาธิให้กับพนักงาน
โดยแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1
บริษัทผู้นำ
ประกาศตนอย่างชัดเจนว่ามีการพัฒนาจิตและยอมรับ ว่าการพัฒนาจิตเป็นประโยชน์ในการนำองค์กร
เช่น Michael Rennie แห่ง McKinsey & Co., Michael Stephen แห่ง Aetna
International, Robert Shapiro แห่ง Monsanto เป็นต้น ระดับที่ 2
บริษัทในตะวันตกที่หันมาสนใจในการฝึกสติและสมาธิให้พนักงาน ในองค์กรมีจำ นวนเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งบริษัทใหญ่ๆดังปรากฏในนิตยสาร Fortuneจำนวน 500แห่ง เช่น Raytheon,Proctor & Gamble,
Monsanto, General Mills, Comcast เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ
ที่มีชื่อเสียงเป็น ที่รู้จักอีก เช่น BASF Bioresearch,
Bose, New Balance, Unilever, Nortel Networks เนื่องจากเห็นว่าการฝึกจิตช่วยให้พนักงานทำ
งานได้ดีขึ้น ระดับที่ 3 บางบริษัทกำ
หนดให้การพัฒนาจิตเป็นองค์ประกอบสำคัญของ บริษัท เช่น
บริษัท Sound True ซึ่งประกอบการด้านการบันทึกเสียง ถึงกับ กำ
หนดให้เป็นคุณค่าหลักขององค์กร ดังนี้ “ในฐานะของ Sound True เราจะฝึกให้มีสติในงานทุกด้านของเรา
เราเห็น ความสำคัญของความสงบ มองเข้าไปภายใน
การฟังอย่างใส่ใจ และการอยู่กับ ปัจจุบัน”
Sound True เริ่มการประชุมทุกชนิดด้วยการทำสมาธิ1 นาทีและมีห้อง สมาธิให้พนักงานได้เข้าไปหาความสงบได้เมื่อต้องการ 6 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร องค์กรอื่นๆ ที่สนใจในเรื่องการพัฒนาสติและสมาธิในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ โรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรที่มีความกดดันสูง เช่น ทหารตำรวจและ เจ้าหน้าที่เรือนจำ เป็นต้น สำ
หรับประเทศไทย ผลจากการที่สำ นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้าง เสริมสุขภาพ
(สสส.) ได้สนับสนุนสุขภาวะในองค์กร ทำ ให้เกิดโครงการสำคัญ คือ
องค์กรสร้างสุขหรือที่รู้จักกันในชื่อ Happy 8 โดยหนึ่งในองค์ประกอบ สำคัญ คือ HappySoul ซึ่งเป็นเรื่องของการพัฒนาจิตนั่นเองและมีบริษัทที่เป็น ตัวอย่างในการดำ เนินการโครงการนี้เช่น บริษัทในเครือไลออน บริษัท
เอเชีย พริซีชั่น จำกัด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์กรุงเทพฯ
เป็นต้น ในขณะเดียวกัน องค์กรด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะโรงพยาบาลในภาครัฐก็ได้นำ
เรื่องสติใน องค์กรไปใช้ทั่วทั้งองค์กร เช่น โรงพยาบาลสิงห์บุรีโรงพยาบาลปางมะผ้า โรงพยาบาลหล่มเก่าโรงพยาบาลสวนสราญรมย์สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ราชนครินทร์สถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่น ราชนครินทร์เป็นต้น เช่นเดียวกับในภาคการศึกษาเช่น โรงเรียนลำปลายมาสพัฒนา โรงเรียนศิริพงษ์วิทยา
ก็นำสติไปใช้ทั้งองค์กรกับครูและนักเรียนอย่างได้ผลดียิ่ง อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ท้าทายสำ หรับองค์กรทั้งในและต่างประเทศ คือ ทำอย่างไร
พนักงานจึงจะสามารถพัฒนาจิตในระหว่างการทำ งานได้อย่างยั่งยืน ตลอดไป และสามารถนำการพัฒนาจิตในการทำ งานไปใช้ให้เกิดผลดีในชีวิต ส่วนตัว กับครอบครัวและต่อสังคมได้ต่อไป การพัฒนาสติกับการทำงานของสมอง สมองของคนเราประกอบด้วยเครือข่ายของเซลล์สมองที่เรียกว่า นิวรอนส์
(Neurons) จำนวนมากมายมหาศาลหรือประมาณได้กว่าหนึ่งแสนล้านเซลล์ โดยเซลล์เหล่านี้จะไม่ติดกัน แต่จะเชื่อมโยงกันทางกิ่งก้านของเซลล์หรือที่เรียกว่า แอกซอน (Axon)และเดนไดร้ท์(Dendrite) เรียกส่วนที่เชื่อมต่อนี้ว่าซินแนปซิส
(Synapses) นิวรอนส์จะส่งผ่านข้อมูลจากเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งอย่าง
7 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร รวดเร็วมากเหมือนการส่งผ่านกระแสไฟฟ้าแต่เป็นกระบวนการทางชีวเคมีทำ ให้ ข้อมูลต่างๆ ถูกถ่ายทอดไปทั่วสมองได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที สมองของคนเราจะทำ หน้าที่พื้นฐานในการสั่งการอวัยวะต่างๆ ให้พร้อม จะสู้หรือหนีเพื่อปกป้องตัวเราจากภยันตรายต่างๆ และดำ
รงชีวิตอยู่ได้ด้วย ความปลอดภัย เมื่ออวัยวะรับสัมผัสต่างๆ
ส่งข้อมูลให้สมอง เช่น ตาเห็นภาพ หูได้ยินเสียง
ลิ้นได้รับรส ผิวหนังสัมผัสสิ่งต่างๆ สมองจะตีความและ สั่งการให้เกิดการโต้ตอบ
เมื่อโต้ตอบไปแล้วรอดปลอดภัย สมองก็จะเก็บไว้ เป็นแบบแผนความคิดและความทรงจำ
เมื่อเหตุการณ์เดิมๆเกิดขึ้นอีกสมองก็จะ สั่งการให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบแบบเดิมๆอีกทุกครั้งไปจนเกิดเป็นนิสัย
ทำ ให้คนเรา ติดอยู่ในกับดักวังวนของการสั่งการแบบเดิมๆ
ของสมอง เช่น เมื่อถูกผู้อื่น ทำ ให้ไม่พอใจ
ก็จะโต้ตอบด้วยวาจาหรือการกระทำ ออกไปทันทีทำ ให้ผู้อื่น ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย
เป็นต้น ทั้งนี้แต่ละบุคคลจะมีประสบการณ์ชีวิต
การเลี้ยงดูและอยู่ในสิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างกัน
ทำ ให้สมองของแต่ละคนจะมีแบบแผนความคิด ความทรงจำ และปฏิกิริยาโต้ตอบที่แตกต่างกันไปด้วย
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีสมองของใครที่ จะเหมือนกันไปหมดทุกอย่างซึ่งเป็นสาเหตุทำ
ให้คนเรามีบุคลิกภาพ อัตลักษณ์ และนิสัยที่แตกต่างกันออกไป
นั่นเอง อนึ่ง
ภายหลังจากที่บุคคลได้รับการฝึกสติและสมาธิไประยะหนึ่งแล้ว จะเปรียบเสมือนเราได้โปรแกรมการทำ
งานของสมองเสียใหม่ นิวรอนส์หรือ เซลล์สมองจะเกิดการส่งผ่านข้อมูลกับนิวรอนส์ตัวใหม่ๆด้วยการเชื่อมต่อใหม่ๆ เกิดวงจรการเรียนรู้ใหม่ ทำ ให้การเชื่อมต่อเก่าๆ ฝ่อและหมดสภาพไป
สมอง จึงเกิดการสั่งการในรูปแบบใหม่ๆ
ที่มีการยั้งคิดมากขึ้น ไม่เป็นไปตามอัตโนมัติ เหมือนแต่ก่อน
ทำ ให้เกิดพฤติกรรมใหม่ๆ ที่พัฒนากว่าเดิม รอบคอบกว่าเดิม ช่วยให้แก้ปัญหาต่างๆ
ได้ดีกว่าเดิม ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีกว่าเดิม และ ที่สำคัญคือช่วยให้มีความรู้สึกสงบและเป็นสุขมากกว่าเดิมด้วย
8 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร จากการศึกษาวิจัยพบว่า การฝึกสติและสมาธิเป็นประจำสมํ่าเสมอจะช่วย ป้องกัน บรรเทาและบำบัดอาการเจ็บป่วยได้อย่างหลากหลายเช่น
ความวิตกกังวล อาการซึมเศร้าโรคตื่นตระหนกหรือโรคแพนิค(Panicdisorder)การติดสารเสพติด และพฤติกรรมเสพติดโรคกระเพาะอาหารและลำ ไส้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
โดยเฉพาะอาการปวดเรื้อรัง
โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง นอนไม่หลับ ไมเกรน
ภูมิแพ้หอบหืด โรคอ้วน ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความเครียด ทั้งนี้ เป็นเพราะสติและสมาธิสามารถลดความเครียดได้นั่นเอง นอกจากนี้ในปีพ.ศ.
2538 (ค.ศ. 1995) The National Institutes of Health, USA ได้สรุปว่า จากการศึกษาวิจัยกว่า 30 ปีที่ผ่านมา และจากประสบการณ์ของบุคคลทั่วไป และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขพบว่า สมาธิและการฝึกปฏิบัติในการผ่อนคลาย ความเครียดที่คล้ายคลึงกันนี้สามารถนำ ไปสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้น
มีคุณภาพชีวิต สูงขึ้น
และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลงได้ด้วย ดังนั้น
จึงเป็นที่แน่ชัดว่า หากนำการพัฒนาสติและสมาธิไปใช้ในองค์กรแล้ว พนักงานที่ได้ฝึกสติและสมาธิจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ช่วยให้ ทำ งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลดความขัดแย้งระหว่างกัน และเสริมสร้าง ความสุขให้มากขึ้น
ทั้งในระดับบุคคล องค์กร ครอบครัวและชุมชนต่อไปด้วย การพัฒนาสติทำ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง การฝึกสติและสมาธิเป็นประจำสมํ่าเสมอทุกวัน
เช่น มีสติอยู่กับงานที่ทำ ได้ ตลอดทั้งวัน การนั่งสมาธิวันละ
10 – 30 นาทีทุกวัน เป็นต้น จะช่วยให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล
ดังนี้
1. ควบคุมการทำ งานของร่างกายส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น
2. สมองส่วนต่างๆสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น
และแสดงออกอย่างระมัดระวังมากขึ้น
4. มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ทั้งในมุมมองต่อโลกและการดำ เนินชีวิต
5. เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น
6. ตระหนักรู้ตัวเองและสามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
9 สร้างสุขด้วยสติในองค์กร
7. ควบคุมความกลัวได้ดีทำ
ให้มีความกล้ามากขึ้น
8. มีสหัสญาณหรือสัมผัสที่ 6 หรือความสามารถในการหยั่งรู้โดย สัญชาติญาณหรือประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่สะสมไว้
9. มีคุณธรรม
10. มีความเมตตาต่อตนเองและผู้อื่น
กล่าวโดยสรุป การพัฒนาจิตโดยการฝึกสติและสมาธิจะมีผลต่อสมอง โดยตรง ช่วยให้สมองส่วนหน้าเกิดการพัฒนามากขึ้น
แม้จะเข้าวัยผู้ใหญ่แล้ว แต่สมองส่วนนี้ก็ยังสามารถพัฒนาให้ทำ
งานดีขึ้นได้และเมื่อสมองส่วนหน้านี้ ได้รับการพัฒนาแล้ว
บุคคลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งด้าน ความคิดและการกระทำ
จึงเป็นเหตุให้องค์กรที่ทันสมัยและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้ผนวกเอาเรื่องของการพัฒนา
“สติ” มาพัฒนาศักยภาพของพนักงาน โดยมี เป้าหมายสูงสุดอยู่ที่การทำ
ให้พนักงานทำ งานด้วยความสุข อยู่ร่วมกันอย่างมี มิตรไมตรีร่วมมือร่วมใจกันในการทำ
งานให้ประสบผลสำเร็จและผลพลอยได้คือ การมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น
และมีชุมชนที่อยู่กันอย่างรักใคร่สามัคคีและนำ พา ทุกชีวิตให้มีความสุขและประสบความสำเร็จตามไปด้วยเช่นกัน
Best casinos in New Jersey 2021
ตอบลบFind 광주광역 출장샵 the best casinos in 부천 출장마사지 New Jersey 2021 태백 출장마사지 with reviews, ratings, contact details & 논산 출장샵 phone number of the 32 casinos in New Jersey. 세종특별자치 출장마사지 Rating: 3.9 · 33 votes